[SF] ...Forget Me Not... [HoHyun]
ช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ หากสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขา...ยิ่งใหญ่นัก "ความรัก"
ผู้เข้าชมรวม
1,296
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
...Forget Me Not...
สวัสดีค่ะ เจอกันอีกแล้วนะคะ ^^~
อะแฮ่มม แนะนำตัวนะจ๊ะ
ชื่อมิ้งค์ค้าบบบ อายุ 14 เมื่อต้นปีนี่เองค่ะ!
อยู่ม. 3 ตอนนี้ก็กำลังจดๆจ้องว่า น้ำจะท่วมมั้ย =[]=!!
เป็นช็อตฟิคเรื่องแรกในชีวิต ที่ปั่นมาด้วยความรีบอย่างที่สุด
มันเลยออกมาแปลกๆ แปร่งๆ ขออนุญาตให้ติ-ชมกันหน่อยนะคะ~
คำเตือนก่อนอ่าน
น้ำเน่ามากกกกกกกก!! โปรดระวังตัวไว้ - -++
ขอขอบคุณธีมบทความสวย ๆ จาก
เปิดเรื่อง :: 31/10/11 เวลา 0.00 น.
แก้ไข :: 14/08/12 เวลา 21.35 น.
((จิ้มฟังเพลงคลอเวลาอ่านก็ดีนะคะ ^^))
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
Couple : HoHyun
By : Energetic
Talk : SF เรื่องแรกเลยจ้ะ ฉลองรับเทศกาล Halloween ห่วยบรมมากกกกกก ใครอยากได้สเป..ขอเสียงหน่อยนะเออจะพิจารณาว่าจะเขียนหรือไม่เขียนดี ^^
Warn : น้ำเน่ามากกกกกกกกก = =!!!!
Theme Song : A thousand years - The Piano Guys
ผมไม่เข้าใจ...ความรักของพวกเรามันผิดมากขนาดนั้นหรือ?
คิมจงฮยอน...คุณตอบผมได้ไหม?
.
.
.
แสงสว่างจากโคมไฟตั้งโต๊ะถูกดับลง...
เป็นเวลาเดียวกับที่นาฬิกาลูกตุ้มที่ถูกตั้งไว้นอกห้องตีบอกเวลาเที่ยงคืนพอดิบพอดี ร่างสูงโปร่งภายใต้ความมืดมิดนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะทำงานอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนจะผละจาก มุ่งหน้าสู่เตียงนอนนุ่มๆอุ่นๆตามปกติ ทอดกายลงบนผืนเตียงกว้าง ขยับผ้าห่มผืนหนาขึ้นคลุมกาย ปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนล้า
มินโฮขยับกระสับกระส่ายบนเตียงกว้าง พยายามข่มตาหลับลงให้ไวที่สุดเพื่อที่จะตื่นเช้าๆในวันรุ่งขึ้นทว่านอกจากจะไม่มีท่าทีของความง่วงแล้ว ตาของเขายังสว่างเต็มที่อีกต่างหาก
สุดท้ายก็จำใจลุกขึ้นจากเตียงนอนเมื่อเห็นว่านอนต่อไปก็คงไม่มีประโยชน์
แสงสีอมส้มของโคมไฟหัวเตียงสาดแสงสลัวพอให้มองเห็นสภาพรอบห้องเล็กๆเก่าๆ เอื้อมแขนยาวไปคว้าวิทยุเทปคาสเซ็ทรุ่นคุณปู่ที่ทำท่าจะพังแหล่ไม่พังแหล่ขึ้นประคองอย่างทะนุถนอม แน่สิ...ก็เขาไม่มีเงินพอที่จะซื้อเครื่องใหม่ได้หรอก
ปลายริ้วเรียวกดปุ่มเล่นเทป สักพักเสียงไวโอลินถึงค่อยๆดังลอดออกมาจากลำโพงขนาดเล็ก มินโฮยิ้มให้มันนิดหน่อยก่อนจะค่อยๆเอนกายลงพิงหัวเตียง หลับตาพริ้ม
อย่างน้อยๆ เสียงไวโอลินที่ดังสอดรับกับเสียงเปียโนใสกังวานนั้นก็ไม่ได้ทำให้ค่ำคืนนี้น่าเบื่อมากไปนัก
ค่ำคืนแรกในอังกฤษ...ค่ำคืนแรกในกลอสเตอร์...
แต่ไม่ใช่ค่ำคืนแรกที่ผมอยู่คนเดียว...
ผมชินเสียแล้วล่ะ...กับการที่ต้องอยู่คนเดียว
มินโฮยกแขนขึ้นก่ายหน้าผาก มีเพียงแสงไฟสลัวและเสียงเพลงหวานจากไวโอลินและเปียโนที่ยังคงคลอเคล้าเป็นเพื่อนข้างกายในยามดึกสงัด หรือเปล่า...?
ฮึก...ฮือ...
ไม่...มันยังมีบางอย่างที่ทำให้ค่ำคืนแรกในกลอสเตอร์ของผมมีสีสันมากกว่านั้น
เสียงสะอื้นลอยแว่วมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะๆ ทุกอย่างเริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อมินโฮตัดสินใจเอื้อมแขนยาวไปกดปิดวิทยุ เรียกความสงบกลับคืนสู่ห้องนอนอีกครั้ง
ชายหนุ่มลอบระบายลมหายใจหนักหน่วงก่อนจะเอนตัวลงนอน ปิดไฟหัวเตียงเรียบร้อย ตัดสินใจแล้วว่าต้องเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างจริงๆจังๆเสียทีก่อนที่พรุ่งนี้เช้าจะลืมตาไม่ขึ้น
แต่เสียงสะอื้นนั้นก็ยังแว่วตามมาอยู่ดี...
คิ้วเริ่มขมวดเข้าหากันอย่างหงุดหงิด ขยับลุกขึ้นจากเตียงกว้างด้วยความจำยอม ก้าวไปชิดขอบหน้าต่าง สอดส่องสายตาหาแหล่งเกิดเสียงด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ซึ่งก็คงไม่แคล้วลุงแก่ๆขี้เมาสักคนที่กำลังร่ำร้องคิดถึงบ้านแต่ถึงจะพยายามมองหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอเสียที
ไม่เจอทั้งสิ่งมีชีวิตที่กำลังนอนร้องไห้อยู่นอกรั้วบ้าน...หรือแม้กระทั่งภายในบ้าน
บางทีผมอาจจะคิดมากไป
มันอาจจะเป็นเสียงลมที่พัดหวิวคล้ายเสียงร้องไห้นี่ก็ได้
มินโฮหันหลังกลับ หมายก้าวไปสู่เตียงนุ่มๆอุ่นๆอย่างที่เขาสมควรสักที
“...!!!”
ร่างทั้งร่างพลันเย็นวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท่า ลมหายใจสะดุดกึก นัยน์ตาคมเบิกคิ้วเล็กน้อยมองภาพที่กำลังสะท้อนกระจกตู้หนังสืออย่างตกใจ
ร่างโปร่งบางร่างหนึ่งสะท้อนกระจกอยู่ด้านหลังของเขา...นอกหน้าต่างบานนั้น สองขาไม่ได้สัมผัสอยู่กับส่วนของผืนโลก ใบหน้าขาวซีดแลดูถมึงทึง นัยน์ตาสีฟ้าเรียวคมชื้นน้ำกราดมองอย่างโกรธเกรี้ยว ยกปลายนิ้วชี้สั่นระริกขึ้นชี้หน้าผ่านกระจกตู้ ขยับริมฝีปากพึมพำพอจับศัพท์ได้เล็กน้อยว่า...
ไสหัวออกไป...
มินโฮหันกลับไปดูที่ภายนอกบานหน้าต่างบานนั้นแทบจะทันที ฉันพลันกลับต้องรู้สึกขนลุกซู่เมื่อไม่พบร่างของใครนอกจากภาษาอังกฤษตวัดห้วนๆที่เขียนอยู่บนกระจก
DIE...
.
.
.
เสียงนาฬิกาปลุกดังเตือนเวลาที่เริ่มล่วงเลย...
มินโฮพลิกกายขยับหนีจากอากาศที่ค่อนข้างเย็นกว่าปกติ ตวัดผ้าห่มขึ้นคลุมโปง นอนขดอยู่สักพัก สุดท้ายก็จำต้องพยายามฝืนเปิดเลือกตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า เอื้อมแขนยาวไปควานๆปัดๆหาต้นกำเนิดเสียงก่อนจะกดปิดนาฬิกาปลุกเพื่อให้มันหยุดส่งเสียงรบกวนเสียที
ค่อยๆลุกขึ้นจากเตียงอย่างเชื่องช้า อ้าปากหาวหวอดรับยามเช้าสักทีก่อนจะยืดตัวบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยขบที่สะสมอยู่ทั้งคืนออกไป
ตัดสินใจใช้น้ำเย็นเฉียบจากก๊อกนำพาความสดชื่นมาแทนที่ความง่วงงุนจากอาการนอนไม่พอ และสาเหตุที่ทำให้เกิดสภาพแบบนี้ก็คงไม่พ้นเรื่องเมื่อคืนที่ยังวนเวียนอยู่ภายในหัว
เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอผีจะจะตาก็วันนี้นี่แหละ
ไม่คิดว่าชาตินี้จะมีบุญได้เจอกัน -______-;;;
บางที...ผมอาจจะต้องหาเวลาว่างสักหน่อย ไปถามหาความจริงจากปากของเจ้าของบ้านเช่า
ผมยังจำได้ถึงท่าทางลุกลี้ลุกลนเวลาที่เขานั่งทำสัญญาเช่าบ้านกับผมที่ห้องรับแขก สีหน้าหวาดกลัวเวลาที่พาผมขึ้นเยี่ยมชมห้องต่างๆ ท่าทางที่แทบจะประเคนบ้านหลังนี้ให้ผมฟรีๆ รวมทั้งเอ่ยเตือนว่าพยายามอย่ายุ่งกับสิ่งของภายในบ้านหลังนี้สุ่มสี่สุ่มห้า
บางที...อาจเป็นเพราะเด็กผู้ชายเมื่อคืน...
แต่ก็นะ ผมไม่ใช่คนขี้กลัวด้วยสิ
เวลากำลังจะหมด...
มินโฮเหลือบมองนาฬิกาข้อมือเรือนเก่าๆที่กำลังบอกเวลาว่าเริ่มสายมากแล้ว หากเขาออกจากบ้านหลังนี้สายกว่านี้บางทีอาจจะไม่ทันกับงานเล่นดนตรียามเช้าที่บ้านพักคนชราในเมือง ขยับจัดแต่งเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อย มือใหญ่เอื้อมคว้ากล่องที่บรรจุไวโอลินตัวโปรดมาถือ ก้าวออกนอกห้องโดยที่ไม่หันกลับมามอง
ไม่ทันเห็น...ตัวอักษรภาษาอังกฤษสามตัวที่เคยตราตึงอยู่บนกระจกบานใหญ่นั้นค่อยๆเลือนหายไป
และร่างเล็กของคนคนหนึ่งที่ยืนทอดมองร่างสูงโปร่งที่กำลังเดินออกไปด้วยสายตาที่ไม่อาจคาดเดา
.
.
.
ปลายดินสอแหลมกำลังถูกขีดเขียนลงบนโน้ตเพลง
ชเวมินโฮเป็นเพียงเด็กผู้ชายที่หนีออกจากบ้านมาตั้งแต่อายุสิบหกยันตอนนี้อายุปาเข้าไปยี่สิบสองแต่ยังไม่เคยที่จะกลับไปเหยียบบ้านเลยสักครั้ง
ความสุขของเขาคือการที่เห็นคนอื่นได้ฟังเสียงไวโอลินที่เขาเล่นแล้วมีความสุข ไม่ใช่การที่ต้องมานั่งจดๆจ้องๆกับตำราเรียนกองหนา ตั้งหน้าตั้งตาท่องกฎหมาย คิดคณิตไวยิบเพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารที่พ่อกับแม่ยัดเยียดให้
ประโยคสุดท้ายที่ทำให้เขาตัดสินใจหันหลังออกจากบ้านหลังนั้นโดยไม่คิดหันหลังกลับอีกเลยคือ
‘ถ้าแกยังจะเล่นมัน แกก็ไม่ใช่ลูกชายฉัน!’
เด็กผู้ชายอายุสิบหก ออกตระเวนหางานทำตามร้านสะดวกซื้อ ค่อยๆเก็บหอมรอมริบไปทีละน้อย ทีละน้อย อดมื้อกินมื้อบ้างก็ไม่เป็นไร จนกระทั่งจำนวนเงินที่มีนั้นมากพอ... มากพอที่จะลาจากบ้านเกิดเดินทางตามความฝันที่ตนเองอยากจะทำมัน
ตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินมุ่งหน้าสู่เมืองชนบททางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ...กลอสเตอร์
เป็นอีกครั้งที่นาฬิกาลูกตุ้มนอกห้องตีบอกเวลาสิบสองครั้ง หากสิ่งที่แปลกไปในวันนี้คงเป็นแสงไฟที่ไม่ได้ดับลงอย่างเคย มินโฮยังตัดสินใจนั่งจมจ่ออยู่กับบทเพลงที่เขากำลังบรรจงสรรแต่งมันช้าๆ
และอีกอย่าง...คือการรอที่จะพบกับเด็กผู้ชายคนเมื่อคืน
ผมบอกแล้วว่าผมไม่ใช่คนขี้กลัว
แต่ไอ้เรื่องที่ผมกับเขาจะคุยกันรู้เรื่องมั้ย...นั่นก็อีกเรื่องนะ =___,=
ดูจากสภาพเมื่อวานแล้ว...ทั้งไล่ทั้งสั่งให้ไปตายขนาดนั้น
ฮึก...ฮือ...
ร่างสูงโปร่งผละออกจากโต๊ะทำงานเดินไปชิดขอบหน้าต่าง อดคิดไม่ได้ว่าหากอีกฝ่ายโผล่มาจ๊ะเอ๋ตรงหน้าเหมือนที่ในหนังเค้าเจอกันมันจะเป็นยังไง
คงตกใจดีพิลึก -___-
ค่อยๆผ่อนลมหายใจหนักหน่วงเมื่อไม่ได้พบใครภายนอกหน้าต่างอีกเช่นเดิม
ฮึก...ฮือ...
แต่เสียงร้องไห้กลับชัดขึ้น...?
“...!!!”
ร่างสูงโปร่งสะดุ้งเฮือกเมื่อหันหลังกลับมาแล้วพบกับเจ้าของเสียงที่ว่า เผลอกลืนน้ำลายฝืดเฝื่อนลงคออย่างยากเย็น ยามที่เห็นอีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้
ครืดดด...ครืดดด...
โซ่ตรวนขนาดยักษ์ที่คล้องอยู่ที่ข้อเท้าขาวถูกลากมาตามพื้นไม้ ทุกย่างก้าวทับรอยหยดน้ำชื้นที่ร่วงซึมเป็นวง ร่างขาวซีดเลือนรางใต้แสงไฟโปร่งใสคล้ายควัน สิ่งที่ดึงดูดความตกใจทั้งหมดให้หมดสิ้นไปจนไม่พ้น...
นัยน์ตาสีฟ้าใสพร่างน้ำคู่นั้น...
“เจ้า...”
เสียงนุ่มติดแหบนิดๆตามฉบับเด็กผู้ชายกังวานขึ้นคล้ายพูดอยู่ภายในห้องแคบๆ ร่างโปร่งใสขยับเคลื่อนกายมาหยุดอยู่ตรงหน้า จ้องมองร่างสูงกว่าด้วยสายตาที่ทอดแววอาลัยปนยินดี
“เป็นเจ้าจริงๆ...”
มินโฮขนลุกซู่เมื่อสัมผัสถึงความเย็นเฉียบราวกับกระแสลมพาดผ่านผิวแก้มยามที่คนตัวเล็กยกมือขึ้นประคองใบหน้า ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายกำลังทำงานหนัก...หนักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
คราวนี้...คุณผีตัวเล็กมาดีแฮะ
หยดน้ำใสร่วงเผาะลงกระทบร่องแก้มส่งผลให้มินโฮรู้สึกมือไม้ชักเริ่มหนักขึ้นแปลกๆ อยากจะยกขึ้นเช็ดน้ำตาให้แต่คิดว่าถึงพยายามไปมันก็คงไม่โดน
ขนาดเขา...ยังสัมผัสผมไม่ได้เลย
“คุณครับ”
“อย่าร้องไห้เลยนะครับ...”
.
.
.
ร่างสูงโปร่งอมยิ้มนิดหน่อยยามที่ทอดมองร่างเล็กที่นั่งอยู่ปลายเตียง สองมือเล็กถูกยกขึ้นมาปาดน้ำตาป้อยๆอย่างน่าเอ็นดูจนนึกสงสาร อยากจะเข้าไปปลอบอยู่เหมือนกันแต่ไม่รู้ว่าต้องทำแบบไหนถึงจะดี
ให้กอดปลอบก็สัมผัสตัวเขาไม่ได้... ให้พูดปลอบยิ่งแล้วใหญ่...
คนอย่างชเวมินโฮพูดปลอบใครเป็นซะที่ไหนล่ะนั่น = =;;
“นี่คุณ”
เสียงนุ่มทุ้มเรียกเบาๆ ระบายรอยยิ้มอบอุ่นบนริมฝีปากจนตัวเองยังอดแปลกใจไม่ได้
ทั้งๆที่คิดว่าลืมวิธียิ้มไปนานมากแล้ว...
“สำหรับคุณครับ”
ดอกไม้ช่อโตที่คนมอบให้ความมันมาจากแจกันข้างเตียงถูกยื่นมาตรงหน้า ทว่าหยดน้ำใสนั้นกลับยิ่งไหลราวกับเขื่อนแตก ก้มลงสะอื้นจนตัวโยน
ส่วนคนทำน้ำตาไหล... ก็ไปต่อไม่ถูกเลยน่ะสิ =___=;;
“คุณตัวเล็กครับ...”
เจ้าของชื่อ ‘คุณตัวเล็ก’ ที่มินโฮเรียกพยายามปาดน้ำตาก่อนจะช้อนนัยน์ตาคู่สวยนั้นขึ้นมอง ร้อง ‘หืม’ในลำคอเชิงถามว่า ‘มีอะไร’
“น้ำตา...ไม่เหมาะกับคุณหรอกครับ”
“................”
“คุณน่ะ เหมาะกับรอยยิ้มกว้างๆมากกว่า”
มินโฮใช้ปลายนิ้วชี้ทั้งสองข้างวางไว้ชิดกันที่กึ่งกลางริมฝีปากตนเองก่อนจะค่อยๆระบายรอยยิ้มออกตามปลายนิ้วทั้งสองที่แยกออกจากกันเป็นรูปครึ่งวงกลม
“Smile~”
“อือ” เสียงหวานติดแหบตอบรับแผ่วๆกึ่งกลั้วหัวเราะในลำคอ เงยใบหน้าซีดขึ้น ริมฝีปากได้รูปแย้มยิ้มกว้างทั้งที่น้ำตาคลอ “ยิ้มแบบนี้พอใจไหม?...คุณนักดนตรีคนเก่ง”
“มากๆเลยครับ คุณตัวเล็ก” ^^
คุณตัวเล็กย่นจมูกใส่ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปาดน้ำตาอีกครั้ง
“ขอบคุณนะ...มินโฮ”
เสียงหวานเอ่ยอ้อมแอ้มอยู่ในลำคอ ก้มใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มกว้างจนคางแทบชิดอก ซ่อยริ้วแดงที่ขึ้นปลั่งเต็มสองแก้มใส
“คุณรู้จักผมมาก่อนเหรอ?”
“จะว่าใช่ก็ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่” คำตอบที่ไม่ชัดเจนนั้นเรียกรอยยิ้มอ่อนโยนให้ประดับบนริมฝีปากหยัก แอบหัวเราะเสียงทุ้มในลำคอก่อนที่จะส่งเสียงออกมาอย่างเสียดาย
“ว้า...งั้นก็แย่สิ”
มินโฮอมยิ้มขำเมื่อเห็นคนตัวเล็กกระวีกระวาดเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความตกใจ
“ทำไมล่ะ!?”
“ก็ผมยังไม่รู้จักชื่อของคุณเลยนี่ครับ คุณตัวเล็ก” ^^
คุณตัวเล็กที่ว่าถลึงตาใส่ด้วยความหมั่นไส้
“คุณจะไม่ยอมบอกชื่อผมหรือ?”
“.........”
“.........”
“คิม-จง-ฮยอน” เสียงหวานติดแหบนั้นเน้นช้าชัด ก้มใบหน้าหลบสายตาของมินโฮที่ทอดมองไป สองข้างแก้มร้อนผ่าวจนคนตัวเล็กแทบอยากละลาย
“ครับ?” มินโฮเลิกคิ้วขึ้นเชิงถาม ขยับยิ้มยั่วเย้าคล้ายอารมณ์ดีที่ได้แกล้งอีกฝ่ายเล่น
“อยากรู้ชื่อข้าไม่ใช่หรือไง”
“แล้วไงต่อล่ะครับ?”
“ข้าไม่รู้ด้วยแล้ว” ถลึงนัยน์ตาที่แดงช้ำคู่นั้นใส่ สองแขนยกขึ้นกอดอก พองลมเข้าเต็มแก้ม สะบัดใบหน้านวลหันหนีไปอีกทางพลางร้อง ‘เชอะ!’
น่ารัก...
“โธ่ๆ ล้อเล่นน่ะครับ”
น่ารักจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างขนาดนี้...
“จงฮยอน...คิมจงฮยอน”
หันกลับมาเชิดริมฝีปากขึ้นสูงก่อนจะย่นจมูกใส่อย่างหมั่นไส้
“เรียกข้าทำไมนักหนา” =^=!
มินโฮไม่ได้สนใจเสียงประท้วงของอีกฝ่าย เสียงทุ้มยังคงกระซิบเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงนุ่มซ้ำไปซ้ำมา...ซ้ำไปซ้ำมา
ชื่อที่ผมคิดว่า...มันไพเราะมากที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา
“จงฮยอน...คิมจงฮยอน คุณวิญญาณตัวเล็ก”
.
.
.
29 ตุลาคม
เสียงไวโอลินหวีดหวิวดังคลอเคล้ากับสายลมผิวแผ่วกลางฤดูใบไม่ร่วงฟังดูน่าวังเวง...
และต้องมี...เสียงหมาหอนเป็นซาวด์ประกอบ?
“แฮ่!”
เสียงใสของไวโอลินสะดุดกึกเหมือนกับสติของเจ้าของร่างที่ใกล้จะหลุดลอยออกจากร่างเต็มที มินโฮค่อยๆดึงหัวใจที่ร่วงลงไปอยู่ตาตุ่มให้กลับขึ้นมาก่อนจะเอ่ยดุอีกฝ่ายอย่างหนักใจ
“นี่คุณ...เลิกโผล่มาแบบพิเรนท์ๆแบบนี้สักทีเถอะ”
ก่อนที่ผมจะหัวใจวายตายเข้าสักวัน -______,-
“ปากเสีย! พิเรนท์ตรงไหนกันออกจะปกติ” จงฮยอนเอ่ยว่ากลับ พองลมเข้าเต็มแก้มเมื่อถูกดุในเรื่องไม่เป็นเรื่องแต่โคตรเป็นเรื่องใหญ่สำหรับชเวมินโฮ...
ก็ไอ้คำว่า ‘ปกติ’ ของเขากับจงฮยอนมันไม่เหมือนกันน่ะเซ่ - -!!
ปกติของเขาอาจจะเป็นการห้อยหัวลงมาจากเพดาน โผล่มาเกาะอยู่บนหลัง ผุดขึ้นมาจากพื้น ลอยมาโบกมือทักทายตรงหน้าต่าง หรืออาจจะเข้าสิงสิ่งของอะไรสักอย่างภายนอกห้องแล้วค่อยทักทาย แต่สำหรับมนุษย์ปกติธรรมดาอย่างชเวมินโฮการมาแบบปกติคือ เดินขึ้นมาแล้วเคาะประตูที่หน้าห้อง!
แน่นอนว่า...ต่อให้มินโฮเตือนจงฮยอนกี่ครั้ง เขาก็ไม่ทำตามหรอก = =;
“แล้วที่ห้อยหัวลงมาแบบนี้ไม่เรียกพิเรนท์ให้เรียกว่าอะไรล่ะครับ?” มินโฮส่ายหัวอย่างระอา จริงอยู่ที่เขาไม่ใช่คนขี้กลัว...แต่ถ้าโผล่มาแบบนี้บ่อยๆนี่ก็ไม่ไหวนะ “เล่นกายกรรมอยู่หรือไง หืม?”
จงฮยอนหัวเราะแห้ง ยกมือเรียวขึ้นเกาศีรษะแก้เก้อทั้งที่ยังห้อยหัวอยู่แบบนั้น
นี่ยังดีนะหน้าไม่เละ...ถ้าเละอีก ผมได้หัวใจวายตายก่อนวัยอันควรแน่ๆ =_____=!!
“แหะๆ กายกรรมเขายืนห้อยหัวบนอากาศไม่ได้นะเออ” ยังไม่วายหันกลับมาแก้ต่างให้ตัวเองแต่พอเจอสายตาคมที่จ้องเข้าให้แบบนั้น จงฮยอนอดไม่ได้ที่จะเผลอจินตนาการไปว่าตัวเองกำลังหดเล็กลง เล็กลงทุกที
สายตาโคตรโหดเถอะ...
“ขอโทษ” จงฮยอนเอ่ยเสียงอ่อย ยอมทิ้งตัวลงมายืนตามปกติฉบับ ‘ชเวมินโฮ’ แต่โดยดี “คราวหลังมาแบบปกติแล้วก็ได้...”
เห็นหน้าตาท่าทางที่หงอยลงสนิทตา แค่นั้นก็ทำหัวใจเจ้ากรรมอ่อนยวบ
“ผมไม่โกรธคุณหรอก”
“จริงนะ!” จงฮยอนร้องลั่นด้วยความดีใจ สีหน้าคล้ายเด็กๆเวลาเห็นของเล่นชิ้นใหม่ อยากจะกระโดดกอดคนที่บอกว่าไม่โกรธตัวเองมากที่สุดในสามโลก
“ผมจะโกรธคุณลงได้ยังไง”
ยิ่งคุณทำตัวน่ารักขนาดนี้... ต่อประโยคที่เหลือกับตัวเองเบาๆในใจ ริมฝีปากหยักลงลึกกลายเป็นรอยยิ้มอบอุ่น ทอดสายตาอ่อนโยนมองร่างที่ระริกระรี้อยู่เบื้องหน้า
ไม่ได้รู้หรอก...ว่าความคิดที่ถูกปิดขังไว้ภายในใจแบบนั้น มันจะสื่อชัดออกมาทางสายตา
และทำให้ใครอีกคนที่สบสายตาชัด...
หัวใจเต้นแรงเร็วขึ้นมาอีกแล้ว...
.
.
.
30 ตุลาคม
ร่างสูงโปร่งขยับคล่องแคล่วอยู่บนบันไดอันเล็กที่ใช้สำหรับปีนขึ้นหยิบหนังสือ มือใหญ่จัดเรียงหนังสือเก่าๆไล่จากเล่มใหญ่ไปเล่มเล็กอย่างเป็นระเบียบ บรรจงใช้ไม้ขนไก่ปัดฝุ่นหนาเตอะออกจากชั้น ก้มลงเอื้อมมือคว้าผ้าผืนเก่าชุบน้ำบิดหมาดขึ้นเช็ดชั้นหนังสือไม้จนเงาวับ
ร่างสูงโปร่งก้าวลงจากบันไดอันเล็ก ยืนมองผลงานตัวเอง ยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อ
“มีอะไรให้ช่วยไหม?”
เสียงหวานของคนตัวเล็กดังทัก ยื่นใบหน้านวลเข้าไปใกล้พร้อมรอยยิ้มอ้อน
ตุบ!
มินโฮชะงักค้างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หัวใจร่วงวูบไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่ออยู่ๆอีกฝ่ายเกิดโผล่ขึ้นมาจากพื้นต่อหน้าต่อตา ผ้าขี้ริ้วที่กำลังจะถูกนำไปซักน้ำใหม่ร่วงตุบกองกับพื้น
ผิดกับจงฮยอนที่เห็นท่าทางของมินโฮกลับลงไปหัวเราะอยู่กับพื้น ไม่ได้สลดเลยว่าที่อีกฝ่ายสติหลุดออกจากร่างไปเป็นเพราะตัวเอง
“ให้ตายเถอะคุณ...บอกแล้วไงว่าอย่าโผล่มาแบบนี้”
ดุเสียงเข้ม แต่ดูท่าทางแล้วคนตัวเล็กจะไม่ได้สนใจฟังถ้อยคำนั้นเสียเท่าไหร่ =___=;;
น่ามันเขี้ยวจริงๆ...
“ข้าขอโทษน่า ก็แหม~ มันติดนิสัยแล้วนี่นา”
ช้อนนัยน์ตาขึ้นมอง เอียงคอนิดๆพร้อมรอยยิ้มอ้อน
น่ารัก...
“เอาเถอะครับ” ตัดบทเสียงนุ่ม ค่อยๆระบายรอยยิ้มอ่อนโยนบางเบา “คุณไปนั่งรอก่อนเถอะ คุณจับอะไรไม่ได้ไม่ใช่หรือ?”
จงฮยอนพยักหน้ารัวๆ รับคำในลำคอเสียงใสก่อนจะหายวับไปอีกครั้ง ทิ้งให้มินโฮยืนส่ายหัวน้อยๆอย่างระอาใจ
ได้ข่าวว่าเพิ่งบอกไปว่าอย่าทำแบบนี้...หัวใจจะวาย =_____=
.
.
.
ภายใต้ค่ำคืนที่แสนเงียบสงบ...ทุกๆอย่างกำลังดำเนินไปตามสิ่งที่สมควรจะเป็น
ร่างโปร่งบางทอดยาวอยู่บนเตียงนุ่ม ปลายนิ้วเรียวที่แม้เป็นเพียงอากาศธาตุค่อยๆไล้ตามรูปตาคมของคนตัวสูงกว่าที่กำลังปิดสนิท ริมฝีปากบอบบางแย้มยิ้มหวาน
“รู้ไหม...ว่าข้าดีใจขนาดไหนที่เจ้ากลับมา”
ไม่มีคำตอบใดๆดังกลับมาอย่างที่ควรจะเป็น จงฮยอนพิศมองใบหน้าคมคายยามหลับใหลราวไม่รู้จักเบื่อ ยินดีเหลือเกินที่ได้อยู่เคียงข้างกันเช่นนี้
“ข้ารอเจ้ามาเป็นร้อยปีเลยนะ...รู้ตัวไหม”
กระซิบเสียงหวานผิวแผ่วข้างใบหู มือสั่นเทาพยายามไล้ตามวงหน้าคมให้คล้ายกับตนเองสามารถสัมผัสอีกฝ่ายได้...เพราะในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่
จงฮยอนไม่สามารถสัมผัสสิ่งใดในโลกมนุษย์ได้...
และไม่มีสิ่งใดในโลกมนุษย์สามารถสัมผัสจงฮยอนได้เช่นกัน...
ขยับเคลื่อนกายขึ้นโดยที่พยายามให้เนื้อตัวของตนเองสัมผัสโดนกับของคนตัวสูงกว่าให้น้อยที่สุด โน้มใบหน้านวลลงอย่างเชื่องช้า บรรจงแนบริมฝีปากเย็นเฉียบลงแผ่วเบา หยดน้ำใสไหลปริ่มออกจากหางตาหยดลงกระทบโหนกแก้มของมินโฮก่อนที่จะค่อยๆจางหายไป
เสียงนาฬิกาลูกตุ้มตีบอกเวลาสิบสองครั้ง บ่งบอกถึงสัญญาณแห่งวันใหม่ที่กำลังมาถึง...
31 ตุลาคม
“ก่อนฟ้าจะสาง...ข้ามีเรื่องๆหนึ่งจะเล่าให้เจ้าฟัง”
ฮัลโลวีน...เทศกาลหนึ่งของชาวตะวันตก หากถามถึงสิ่งที่จะนึกถึงวันฮัลโลวีนคงไม่พ้นการจัดงานปาร์ตี้แฟนซีแต่งตัวเลียนแบบผี หรืออาจจะเป็นลูกฟังทองแกะสลัก
แล้วคุณเชื่อหรือไม่...ว่าแท้ที่จริง เทศกาลนี้คือเทศกาลบูชาเทพแห่งความตายของชาวเซลติก
แท้ที่จริง...แต่งตัวเลียนแบบผีเพื่อที่ไม่ให้ปีศาจร้ายที่ถูกปล่อยมาจากอีกภพมาสิงสู่ร่าง
แท้ที่จริง...หากคนที่ถูกวิญญาณสิงร่าง จะถูกสิงไปหนึ่งปี
แท้ที่จริง...มีพิธีจับตัว “คนที่ถูกผีสิง” มาเผาทิ้งทั้งเป็นเพื่อไม่ให้ทำอันตรายต่อใคร...
ในกาลต่อมา การทำพิธีเผาคนที่คิดว่าถูกผีสิงนั้นถือว่าเป็นเรื่องโหดร้าย ถึงได้ค่อยๆเลือนหายไปตามกาลเวลา หากทว่าในสองร้อยปีก่อนก็ยังมีผู้นำตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งแห่งอังกฤษเชื่อตำนานนี้อยู่
เขาได้จับเด็กผู้ชายข้างบ้านที่มักแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนลูกชายของเขาเสมอเป็นเหยื่อสังเวยในพิธีนั้น
จับขึงตรึงกับไม้กางเขน...สุมกองฟางแห้ง ราดน้ำมันก๊าดแล้วจุดไฟ
ว่ากันว่าเสียงกรีดร้องเพื่อขอชีวิตนั้นดังลั่นยามที่เปลวไฟค่อยๆลามเลียเนื้อตัวเด็กหนุ่มช้าๆ มีผู้คนในพิธีนั้นมากมายหากทว่าไม่มีแม้แต่คนเดียวที่คิดจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเด็กชายคนนี้ให้หลุดพ้นจากกองไฟ มีเพียงเสียงสาปส่งขอให้วิญญาณอย่าได้ไปผุดไปเกิด เสียงสาปแช่งให้เอาความอัปมงคลออกไปซะ
สาเหตุที่แท้จริง... ไม่ใช่เพราะเด็กผู้ชายคนนั้นถูกผีเข้าสิง
แต่เป็นเพราะ ความสัมพันธ์ที่เกินเลยระหว่างเด็กผู้ชายคนนั้นกับลูกชายของผู้นำตระกูลใหญ่
ความรัก...ของเด็กผู้ชายสองคนที่ไม่ได้มีความผิดอะไรเลย
“ชเวมินโฮ” จงฮยอนขยับยิ้มขื่น พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้รินไหลตามคำพูดของอีกคนหนึ่งที่ยังอยู่ภายในห้วงนิทรา ยกสองมือเล็กขึ้นปาดน้ำตาที่เริ่มเอ่อคลอทิ้ง “นั่นคือชื่อของลูกชายของผู้ดีแห่งอังกฤษ”
ริมฝีปากกำลังสั่นระริก...พยายามสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อกลั้นสะอื้น
“ส่วนเด็กผู้ชายที่ถูกเผาคนนั้นคือข้าเอง”
จงฮยอนไม่รู้...ไม่รู้บุคคลที่เขาคิดว่าอยู่ภายใต้ห้วงนิทรานั้น
ความจริงแล้วยังไม่ได้หลับลงอย่างที่ควรจะเป็น...
“คำสาปแช่งของพ่อเจ้า...” เสียงที่หลุดออกมาทั้งสั่นเครืออีกทั้งยังผิวแผ่วไม่ต่างจากเสียงกระซิบ “มันต้องอยู่คนเดียวตลอดกาล...หากปีใดมันมีรักครั้งใหม่”
“ยามเวลานาฬิกาตีบอกสิบสองครั้งของวันฮัลโลวีน มันต้องสูญสลายหายจากโลกนี้ไป...ตลอดกาล”
.
.
.
เวลาเพียงสั้นๆ คุณคิดว่าจะมีเรื่องอะไรที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นได้บ้างเชียว
คืนวันฮัลโลวีน ภายในเมืองกำลังครึกครื้นด้วยงานรื่นเริงขนาดใหญ่ ชาวบ้านชาวเมืองต่างแต่งตัวเลียนแบบภูตผีปีศาจมาอวดประชันกันไม่ขาด เด็กๆต่างวิ่งไปเคาะประตูบ้านเพื่อนบ้านพร้อมทั้งร้อง “trick or treat” ขอขนมกันให้วุ่น
แต่ที่บ้านเช่าเก่าๆหลังหนึ่งบริเวณชานเมือง ไฟทั้งหมดถูกดับลงในเวลาหัวค่ำ และเจ้าของบ้านนั้นก็เข้านอนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ผมมีอารมณ์สนุกไม่ลง...
สนุกไม่ลงเมื่อรู้ว่าเทศกาลที่เราเฮฮากันนั้นเคยมีเรื่องเลวร้ายพรรค์นั้นเกิดขึ้นมาก่อน
ในค่ำคืนนี้เงียบเหงากว่าที่เคย ไม่ได้มีเสียงหัวเราะสดใสของจงฮยอน ไม่ได้มีร่างโปร่งแสงที่ชอบโผล่มาแบบพิเรนท์ของจงฮยอน ไม่ได้มีรอยยิ้มหวานๆที่มักจะส่งให้ก่อนเข้านอนของจงฮยอนมาประดับบรรยากาศวังเวงภายในบ้านหลังนี้อีก
มันยากที่จะข่มตาหลับ...ในคืนที่สายลมพัดหวีดหวิวขนาดนี้
หรือที่ไม่อาจหลับลง...เพราะยังไม่ได้พบหน้าของจงฮยอนก็เป็นได้
“มินโฮ...” เสียงหวานคล้ายตั้งใจพึมพำกับตนเองแว่วลอยเข้ามากระทบโสตสัมผัส “หลับแล้วหรือ?”
ร่างโปร่งแสงใต้แสงจันทร์ยวงลอยอยู่นอกหน้าต่าง ร่างนั้นแผ่วบางลงกว่าเดิมจนน่าใจหาย ทันทีที่ร่างสูงขยับลุกขึ้นนั่ง คนตัวเล็กถึงค่อยๆทะลุกระจกเข้ามา
“แฮ่!”
พุ่งพรวดเข้าไปจนใบหน้าชิดใกล้ พยายามทำหน้าตาให้ดูน่ากลัวมากที่สุด
“มินโฮ...”
แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ร้องเตือนอย่างเคยว่าอย่าทำแผลงๆ มีเพียงสายตาที่ไม่อาจบรรยายความรู้สึกได้ที่จ้องอยู่ที่ใบหน้านวล เร่งให้สองข้างแก้มใสร้อนผ่าว
“ผมอยากกอดคุณ”
หัวใจของร่างสูงเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก...
“ทำไมถึงพูดแบบนั้น...”
เสียงของจงฮยอนไม่ได้ดังไปกว่าเสียงกระซิบ หยดน้ำใสค่อยๆหยดลงอย่างเชื่องช้า หัวใจกำลังบีบรัดแปลกประหลาดอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานานมากแล้ว
ตั้งแต่วันที่ชีวิตจบลง...
“ผมอยากกอดคุณ...คิมจงฮยอน ผมอยากกอดคุณ”
“...............”
“ได้ยินผมมั้ยว่าผมอยากกอดคุณ”
ไม่ได้หลุดแม้แต่เสียงสะอื้นให้ได้ยิน
“เจ้าแตะตัวข้าไม่ได้ เจ้าก็รู้”
ฝืนพูดทั้งที่ก้อนสะอื้นเคลื่อนมาจุกทีลำคอ น้ำตากำลังไหลริน
“ผมไม่เข้าใจ...ถ้าหากวันฮัลโลวีนจะเป็นวันสุดท้ายของคุณ ทำไม? ทำไม?”
ไม่รู้ว่าสิ่งที่มินโฮทำคือการร้องไห้หรือไม่...เพราะมีเพียงหยดน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย ไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้น
“ทำไม...ทำไมฟ้าต้องส่งเราให้มาพบกันในวันที่สายไปขนาดนี้”
จงฮยอนสะอื้นหนัก รู้ดีว่ามินโฮรู้ทั้งหมดในสิ่งที่ตนพูดเมื่อวาน...
“ทำไม...แค่ความรักของผู้ชายสองคน มันผิดมากหรือ? การที่พวกเรารักกันมันผิดจนถึงขนาดต้องนำวัฒนธรรมโบราณขึ้นบังหน้าเพื่อฆ่าคนเชียวหรือ?”
เข็มของหน้าปัดนาฬิกาบ่งบอกถึงเวลาห้าทุ่มห้าสิบเจ็ดนาที
เปลวไฟสีดำสนิทกำลังลามเลียตั้งแต่ข้อเท้าเล็กที่ถูกถ่วงด้วยโซ่ตรวนนั้นช้าๆ ความร้อนกำลังแผดเผาให้ร่างนั้นสลายหายไป...
สองแขนเล็กกอดตัวเองแน่น กรีดร้องลั่นเพื่อร้องขอชีวิต
“จงฮยอน...” มินโฮถลาลงจากเตียง วิ่งเข้าคว้าร่างที่กำลังจะทรุดลงพื้นหวังกอดปลอบประโลมให้คลายเจ็บ ทว่านอกจากจะสัมผัสได้ถึงความร้อนที่แผดเผาแขนทั้งสองข้างกลับไปสามารถคว้าจับร่างที่ทรุดอยู่เบื้องหน้าได้เลย
แขนทั้งสองข้างไร้ซึ่งความรู้สึก เต็มไปด้วยรอยแผลพุพองราวกับถูกโยนลงไปในกะทะที่เต็มไปด้วยน้ำมันเดือดๆ
“ไม่...มินโฮ มันไม่ผิด” กัดฟันฝืนทนความรู้สึกปวดร้าวที่กำลังแล่นพล่านในสายเลือด เปลวไฟนั้นกำลังลามมาทั่วทั้งตัว “ความรักไม่มีผิด...มีเพียงมนุษย์ต่างหากที่ขีดเส้นกั้นไว้ว่ามันผิด”
เข็มของหน้าปัดนาฬิกาขยับสู่เวลาห้าทุ่มห้าสิบแปดนาที
สองแขนแข็งแรงพยายามคว้าร่างที่กำลังถูกแผดเผาเบื้องหน้าราวกับคนไร้สติ ไม่ได้สนใจว่าทั่วทั้งลำตัวของตนเองกำลังมีแผลเกรียมจากไฟไหม้มากขึ้นทุกที แค่ขอให้ได้แบ่งเบาความเจ็บปวดนี้บ้าง...
“พอได้แล้ว...เจ้าสัมผัสข้าไม่ได้ เจ้าก็รู้...”
เข็มของหน้าปัดนาฬิกาบอกเวลาห้าทุ่มห้าสิบเก้านาที
“ผมอยากกอดคุณ”
จงฮยอนพยายามส่ายศีรษะช้าๆ ร่างทั้งร่างไร้ความรู้สึกไปเสียแล้ว
“เจ้าต้องมีชีวิตต่อไป...”
“พระเจ้า! ขอร้องเถอะ...ท่านได้ยินผมมั้ย! เอาชีวิตของผมไปก็ได้! ขอแค่เขาปลอดภัย!”
“เจ้าต้องอยู่ให้ได้เหมือนกับที่เจ้าในอดีตเคยทำ...”
“จงฮยอน...”
“เจ้ารู้อะไรไหม?”
มินโฮทรุดลงใบหน้าแนบพื้น น้ำตาไหลเป็นสาย
“ชีวิตของข้าที่ผ่านมามีแค่เจ้าคนเดียว...”
เสีงยนาฬิกาตีบอกเวลาสิบสองครั้ง...
“เจ้าคนเดียวที่ข้ารัก...ชเวมินโฮ”
ร่างบอบบางนั้นสลายหายไป...กลายเป็นฝุ่นผงภายในชั่วพริบตาไม่สามารถคว้าจับได้แม้แต่เศษเสี้ยว
เหลือเพียงดอกไม้ที่ใกล้จะโรยราเต็มทีกับสมุดบันทึกเล่มเก่าๆเล่มหนึ่งที่ถูกเปิดไว้ที่หน้าสุดท้าย...
กระดาษสีเหลืองกรอบถูกบรรจงขีดเขียนด้วยลายเส้นเอกลักษณ์ เป็นรูปดอกไม้ช่อหนึ่งที่มีสภาพคล้ายดอกไม้ที่ตกอยู่ข้างๆไม่มีผิดเพี้ยน ข้างภาพวาดมีลายมือหวัดๆที่แสนคุ้นตาเขียนเอาไว้
Forget Me Not...
ได้โปรดอย่าลืมฉัน...
เวลาเพียงสั้นๆของผม...เกิดสิ่งหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมา
“ความรัก”
.
.
.
เสียงพลิกกระดาษเก่าๆดังขึ้นภายในห้องที่เงียบสงบ สองแขนที่เต็มไปด้วยแผลไฟไหม้จนเห็นเนื้อที่สุกเกรียมพยายามประคองสมุดเล่มนั้นให้ได้นานที่สุด
สมุดนั้นถูกเขียนด้วยลายมือของจงฮยอนครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นลายมือที่แสนคุ้นตา...
ลายมือของเขาเอง
ค่อยๆอ่านไล่ไปทีละหน้า...แต่ละหน้ามีเพียงประโยคถูกเขียนอยู่เพียงไม่กี่ประโยค
“คิมจงฮยอน...คนโกหก” กระซิบโทษเสียงแผ่ว หยดน้ำตากำลังก่อตัวขึ้นอีกครั้ง “คนโกหก...”
‘เด็กที่ไหนไม่รู้มาปีนกำแพงบ้านข้า แล้วตอนดึกๆยังจะมีหน้าปีนกำแพงกลับมาขอโทษอีก...ตัวก็เล็กปานนั้น ไม่กลัวจะตกไปคอหักตายหรือไงกัน’
‘เค้าชื่อจงฮยอน เป็นลูกครึ่งเหมือนกันกับข้า อ่อ...แล้วยังเป็นพี่ข้าหนึ่งปีเสียด้วยสิ’
‘จงฮยอนชอบดอกฟอร์เก็ต มี น็อต...ชอบเสียงไวโอลินที่ข้าเล่น เขาแต่งเพลงให้ข้าเป็นของขวัญวันเกิดด้วยล่ะ’
‘บางทีความรู้สึกแปลกประหลาดนี้ไม่สมควรจะเกิดขึ้น...ทั้งๆที่ข้ามีคู่หมั้นอยู่แล้ว’
‘ข้ากำลังจะแต่งงาน...แต่กลับต้องเดินทางไปยังเมืองแมนเชสเตอร์เสียก่อนพร้อมกับคู่หมั้นอย่างคุณเบลล่าเสียด้วย แต่ข้าตัดสินใจกลับมาก่อนไม่คิดว่าพ่อจะจัดฉากบังหน้าให้ข้าเดินทางไปแมนเชสเตอร์เพื่อที่จะฆ่าพี่จงฮยอน...’
‘น้ำมันก๊าดพร้อมแล้ว...อีกไม่นานข้าจะตามพี่ไปแล้วนะ...’
.
.
.
สายลมหวีดหวิวของปลายฤดูใบไม้ร่วงดังผิวแผ่ว คราวนี้ไม่ได้มีเสียงไวโอลินดังคลอเคล้าเช่นเคย
ในเมื่อมือของเขา...ไม่สามารถเล่นมันได้อีกแล้ว
ดอกฟอร์เก็ตมีน็อตภายใต้ร่มเงาขอต้นโอ๊คใหญ่กำลังเริ่มชูช่อและเมื่ออากาศหนาวเย็นมากกว่านี้สักหน่อยคงเริ่มผลิดอกให้ได้เห็นกัน
ไวโอลินคันโปรดถูกวางไว้ข้างโคนไม้ใหญ่ พร้อมกับโน้ตเพลงอีกเป็นปึก
รวมถึง ชเวมินโฮ ที่นั่งทอดขายาว ปลดปล่อยใจให้ลอยไปกับสายลม...
.
.
.
70 ปีต่อมา...
“คุณแม่ฮะ! วันนี้ผมไปเยี่ยมคุณตาที่บ้านผีสิงนั้นมาด้วยล่ะ!”
ร่างโปร่งของหญิงสาวชาวอังกฤษหันขวับมองลูกชายจอมซนของเธอเองด้วยแววตาดุๆ ก่อนจะรีบเดินเข้ามาสำรวจสภาพร่างกายของลูกชายว่ายังครบปกติสามสิบสอง
“แม่ห้ามแล้วใช่มั้ยว่าอย่าไปที่นั่น!”
ใครๆก็เล่าลือถึงตำนานความน่าหวาดกลัวของบ้านอาถรรพ์หลังนั้น ทุกๆค่ำคืนจะมีเสียงกรีดร้องอย่างทรมานคล้ายขาดใจตายและเสียงสะอื้นดังแว่วมาให้ได้ยินทุกวัน บางครั้งอาจจะมีเสียงไวโอลินเพี้ยนๆดังลอดมาด้วย ทั้งๆที่บุคคลที่อาศัยอยู่ภายในบ้านนั้นมีเพียงคุณตาอายุเก้าสิบสองปีคนหนึ่งเท่านั้นเอง
หากเป็นคุณตาธรรมดาๆคงไม่เท่าไหร่หากทว่าคุณตาคนนี้กลับมีหน้าตาหน้าตัวด้วยร่างกายที่ถูกไฟเผาจนแทบทั้งตัวทำให้เกิดแผลเป็นมากมายนั้น...คำล่ำลือยิ่งหนาหูว่าแกโดนคำสาปของบ้านประหลาดหลังนั้น
ทุกๆเช้าแกจะออกมานั่งเล่นใต้ต้นโอ๊คขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยดอกฟอร์เก็ตมีน็อต ข้างๆกายมีไวโอลินเก่าๆวางอยู่ แต่แกไม่สามารถที่จะเล่นมันได้เพราะมือทั้งสองข้างที่ถูกไฟเผา
ว่ากันว่าคุณตาคนนั้น...เป็นโรคประสาทหลอนเพราะถูกคำสาปของบ้านหลังนั้นทำให้แกไม่สามารถเดินทางออกไปยังสถานที่ใดได้เลย...
“แต่คุณตาใจดีออกนี่ฮะ! วันนี้ให้ดอกไม้ผมมาด้วย!”
เด็กชายตัวน้อยผู้ยังไม่รู้ถึงพิษสงตามที่ชาวบ้านล่ำลือยื่อช่อดอกฟอร์เก็ตมีน็อตช่อสวยให้ผู้เป็นมารดา
“อ้อ! แล้วจะว่าไป วันนี้คุณตาหลับด้วยล่ะฮะ! ท่าทางมีความสุขมากๆเลย!”
เด็กชายตัวน้อยไม่ได้รู้เลยว่าแท้ที่จริงคุณตาที่เขาเล่านั้นกำลังหลับใหล...ตลอดกาล
คิมจงฮยอน...คุณรู้อะไรไหม?
ผมไม่ได้มีชีวิตต่อมาตามที่คุณบอก...
เพราะอะไร...เพราะมนุษย์ทุกคนไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้หากไม่มีอากาศหายใจ
แล้วชีวิตของผมที่ขาดคุณไป...มันจะดำเนินต่อไปได้อย่างไร?
ทั้งชีวิตของผมไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น...นอกจากคุณ คุณคนเดียว...
เพราะคุณคือลมหายใจของผม...คิมจงฮยอน
.
.
.
ไม่...มินโฮ ความรักไม่ผิดหรอก
แต่คนที่ทำให้มันผิด...คือพวกเราเองที่ขีดเส้นกั้นว่าความรักแบบนี้
คือสิ่งที่ผิด
…THE END…
ผลงานอื่นๆ ของ Energetic ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Energetic
ความคิดเห็น